เศรษฐี กับ ช่างตัดผม
เศรษฐีคนหนึ่ง แม้ฐานะร่ำรวย แต่กลับตระหนี่ถี่เหนียว
วันหนึ่งเขาไปตัดผม ช่างตัดผมจำเศรษฐีคนนี้ได้ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ผมจำคุณได้ ได้ยินมาว่าคุณร่ำรวยมาก”
เศรษฐีพอได้ยินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
วันหนึ่งเขาไปตัดผม ช่างตัดผมจำเศรษฐีคนนี้ได้ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ผมจำคุณได้ ได้ยินมาว่าคุณร่ำรวยมาก”
เศรษฐีพอได้ยินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“แน่นอน ผมรวยพอที่จะซื้อเครื่องบินส่วนตัวได้” เศรษฐีได้ทีคุยโอ้อวดทันที
“ผมว่า ทรัพย์สมบัติที่คุณมี ก็คงจะมากกว่าผมสักแสนเจ็ดเท่านั้นแหละ!” ช่างตัดผมเอ่ยขึ้น
เศรษฐีเมื่อได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง พูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า
เศรษฐีเมื่อได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง พูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า
“นี่นายพูดอะไร? เงินที่อยู่ในกระเป๋าของฉันตอนนี้ ก็มากว่าทรัพย์สมบัติของนายที่มีอยู่ในบ้านนี้ทั้งหมดเสียอีก”
ช่างตัดผมเมื่อได้ยิน ก็รีบตอบกลับไปว่า
ช่างตัดผมเมื่อได้ยิน ก็รีบตอบกลับไปว่า
“คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ฟังผมอธิบายก่อน คุณรู้ไหมว่าราคาโลงจำปาที่แพงที่สุดราคาเท่าไหร่?”
“สองแสน” เศรษฐีตอบออกไปแบบเสียไม่ได้
“แล้วถูกที่สุดราคาเท่าไหร่?” ช่างตัดผมถามต่อ
“สามหมื่น”
“แล้วถูกที่สุดราคาเท่าไหร่?” ช่างตัดผมถามต่อ
“สามหมื่น”
“เพราะฉะนั้น เวลาที่คุณลาลับไปจากโลกนี้ ลูกหลานของคุณก็คงซื้อโลงที่ราคาแพงที่สุดให้คุณ ส่วนผมเป็นคนจน ลูกๆก็คงจะซื้อโลงที่ถูกที่สุดให้ผม ดังนั้น ทรัพย์สมบัติสุดท้ายที่คุณมี ก็มากกว่าผมแค่แสนเจ็ด นอกเหนือจากนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นของคุณอีกต่อไป ”
เมื่อเศรษฐีได้ฟังช่างตัดผมอธิบายก็แจ้งใจในทันที จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็เลิกนิสัยตระหนี่ถี่เหนียว หันมาทำบุญให้ทานอยู่เป็นนิจสิน สมกับคำว่า“เศรษฐี”ที่แปลว่าผู้ประเสริฐ ซึ่งไม่ได้หมายถึงมีทรัพย์มากเพียงอย่างเดียว
ช่างตัดผม แม้จะมีฐานะยากจน แต่เป็นผู้มีทรัพย์แห่งปัญญามาก
เพราะการจุดปัญญาให้แก่ผู้อื่นมีกุศลมาก
คนที่หัวใจไร้ธรรม ไร้สติปัญญาต่างหากเล่า ที่เป็นผู้ยากไร้อย่างแท้จริง
เพราะการจุดปัญญาให้แก่ผู้อื่นมีกุศลมาก
คนที่หัวใจไร้ธรรม ไร้สติปัญญาต่างหากเล่า ที่เป็นผู้ยากไร้อย่างแท้จริง