พบ 4 โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน เริ่มเลิกจ้างพนักงาน โดยให้ลาออกโดยสมัครใจ
สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ลำพูน ระบุว่าข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2558 พบ 4 โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน เริ่มเลิกจ้างพนักงาน โดยให้ลาออกโดยสมัครใจ และใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน มาตรา 75 ที่ให้พนักงานหยุดงานแต่ยังคงจ่ายค่าจ้างในอัตรา 75% ของเงินเดือน
ม.75 ลามนิคมลำพูนแล้ว
24 ก.ค. 2558 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์รายงานว่านายพรเทพ ภูริพัฒน์ ผู้ช่วยผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ลำพูน ระบุว่า สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในขณะนี้พบความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ลำพูน 4 โรงงาน เริ่มเลิกจ้างพนักงาน โดยให้ลาออกโดยสมัครใจ และใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน มาตรา 75 ที่ให้พนักงานหยุดงาน แต่ยังคงจ่ายค่าจ้างในอัตรา 75% ของเงินเดือน และมีกำหนดระยะเวลาการหยุดงานจนกว่าจะมีคำสั่งซื้อกลับเข้ามา จึงให้พนักงานกลับมาทำงานตามปกติ เท่าที่สำรวจเบื้องต้นมีเพียง 4 บริษัทที่ใช้มาตรา 75 เลิกจ้างพนักงานบางส่วน ด้วยเหตุผลคำสั่งซื้อสินค้ามีปริมาณลดลง ส่วนบริษัทอื่น ๆ ยังไม่มี
ด้านนายทรงศักดิ์ ชื่นตา นายช่าง 7 สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ลำพูน กล่าวในทำนองเดียวกันว่าโรงงาน 4 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ลำพูน ที่เริ่มมีการเลิกจ้างพนักงานและใช้มาตรา 75 ได้แก่ บริษัท ลำพูนซิงเดนเก็น จำกัด โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของนักลงทุนญี่ปุ่น มีพนักงานรวม 813 คน ได้ยุบแผนก Power Supply โดยประกาศให้พนักงานเข้าร่วมโครงการร่วมใจโดยสมัครใจ ซึ่งมีพนักงานเข้าร่วมโครงการลาออกโดยได้รับค่าตอบแทน 165 คน เมื่อ 23 มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา และล่าสุดเดือน ก.ค.นี้ได้เลิกจ้างพนักงานในแผนกนี้ที่เหลืออีก 85 คน รวมพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทั้งสิ้น 250 คน
ขณะที่ บจ.โฮย่า กลาสดิสต์ (ประเทศไทย) ซึ่งผลิตเลนส์กล้อง-ฮาร์ดดิสก์ของกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น มีพนักงาน 4,400 คน ใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 75 ตั้งแต่ 25 พ.ค.-31 ก.ค. 2558 โดยให้พนักงานฝ่ายผลิตหยุดงาน 400 คน โดยจ่ายเงินค่าจ้างให้ 75% ของเงินค่าจ้างที่เคยได้รับ เพราะออร์เดอร์หรือคำสั่งซื้อสินค้าลดลง หรือยังไม่มีเข้ามาเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ มี บจ.ทีเอสพีที (TSPT) และ บจ.เคอีซี (KEC) ซึ่งเป็นกลุ่มทุนเกาหลี ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดย บจ.ทีเอสพีทีฯ มีพนักงานราว 160 คน ขอใช้มาตรา 75 ใน 2 ช่วง คือวันที่ 11 ก.ค. 2558 และ 27-30 ก.ค. 2558 โดยให้พนักงานในฝ่ายผลิตหยุดงาน 54 คน จ่ายค่าจ้างในอัตรา 75% เช่นเดียวกับ บจ.เคอีซีที่มีพนักงานรวม 545 คน ช่วงแรกเดือน มิ.ย.ให้พนักงาน 545 คน หยุดงาน 7 วัน และช่วงที่สองให้หยุดระหว่าง 1 ก.ค.-4 ต.ค. 2558
นายทรงศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือฯ อยู่ในช่วงออกตรวจเยี่ยมโรงงานในนิคมฯภาคเหนือ ลำพูน พบว่าโรงงานอื่น ๆ ยังดำเนินกิจการตามปกติ และพบบางโรงงานกำลังขยายกิจการเพิ่มเติมด้วย โดยพื้นที่นิคมมีทั้งหมด 1,788 ไร่ แบ่งออกเป็น 2 แปลง มีโรงงาน 66 โรง ส่วนใหญ่ 90% เป็นการลงทุนกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของทุนญี่ปุ่น มีการจ้างงานรวมทั้งสิ้น 46,000 คน
(อ่านเพิ่มเติม: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1437715070)
ม.75 คืออะไร?
มาตรา 75 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 กำหนดว่า “ ในกรณีที่นายจ้างมีความจำเป็นโดยเหตุหนึ่งเหตุใดที่สำคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนทำให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัยต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทำงาน ให้นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการตามวรรคหนึ่งไม่น้อยกว่าสามวันทำการ”
หลักเกณฑ์ที่ต้องนำมาใช้เกี่ยวกับการหยุดกิจการชั่วคราว คือ
- มีเหตุจำเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราว
เหตุจำเป็น เช่น ประสบปัญหาด้านการเงิน การตลาด คำสั่งซื้อสินค้าลดลงมาก คำสั่งผลิตลดลง ทำให้กระบวนการผลิตได้รับผลกระทบ หรือลดลง เป็นต้น หยุดกิจการชั่วคราว คือ การกำหนดวันหยุดปิดกิจการเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่งช่วงใด หรือหลายช่วงต่อเนื่องกัน
- การหยุดกิจการนั้นมิได้เกิดจากเหตุสุดวิสัย
คำว่า “เหตุสุดวิสัย”หมายความว่า เหตุใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ ทั้งจากผู้ประสบภัยเองหรือบุคคลใกล้เคียง แม้จะได้ระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในสภาวะเช่นนั้น อาทิเช่น น้ำท่วม พายุเข้าแผ่นดินไหว ซึ่งนายจ้างไม่สามารถเตรียมการป้องกันล่วงหน้าได้ ทำให้บริษัท โรงงาน หรือสถานประกอบการได้รับความเสียหายและต้องปิดปรับปรุง ซ่อมแซม หรือเป็นเหตุให้ไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ ถือว่า เป็นสาเหตุมาจากเหตุสุดวิสัยที่นายจ้างไม่อาจป้องกันได้ เหตุที่ต้องให้ลูกจ้างหยุดงานด้วยเหตุสุดวิสัย นายจ้างจึงไม่จำต้องจ่ายค่าจ้าง เพราะถือว่าการจ่ายค่าจ้างด้งกล่าวตกเป็นเหตุพ้นวิสัยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างในระหว่างปิดกิจการ
- หยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน
หากเข้าองค์ประกอบเหตุที่ต้องหยุด นายจ้างสามารถกำหนดให้หยุดได้ แม้บางส่วน เช่น บางฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ เฉพาะฝ่ายผลิต หรือเฉพาะในส่วนออฟฟิศ หรือ ทั้งหมด ทั้งโรงงาน ก็ได้
- จ่ายค่าจ้างตลอดเวลาที่ปิดกิจการไม่น้อยกว่า 75% ของค่าจ้างปกติที่ลูกจ้างได้รับก่อนปิดกิจการชั่วคราว
ก่อนปิดกิจการ ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเท่าใด ให้คำนวณจ่ายในอัตราร้อยละ 75 ของค่าจ้าง ตลอดเวลาที่ให้ลูกจ้างหยุด ไม่ว่าพนักงานรายวันหรือรายเดือน โดยสามารถคำนวณได้ตามประเภทของลูกจ้าง
- แจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าก่อนวันเริ่มหยุดกิจการไม่น้อยกว่าสามวันทำการ
การแจ้ง ต้องทำเป็นหนังสือ ระบุเหตุจำเป็น ผลกระทบ จำนวนลูกจ้างหรือ ฝ่าย หรือทั้งหมด ที่ต้องการให้หยุด กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนชัดเจน ระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุด แจ้งให้ลูกจ้างทราบ อาจเป็นประกาศและส่งสำเนาให้ หรือให้ลงชื่อรับทราบก็ได้ และต้องส่งให้พนักงานตรวจแรงงานพื้นที่ หรือพนักงานตรวจแรงงานจังหวัดทราบล่วงหน้า ไม่น้อยกว่าสามวันทำการ ก่อนเริ่มหยุดหรือปิดกิจการ